Thai / English

ก.แรงงาน ลั่นไทยพร้อมรองรับแรงงานต่างชาติ จ่ายค่าแรง 300 เท่าเทียมแรงงานไทย



26 .. 56
ผู้จัดการ

รมว.แรงงาน ระบุประเทศไทยมีความพร้อม ความเป็นธรรม ความเป็นมิตร และความเป็นสากล สอดคล้องกับองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) องค์การสหประชาชาติ และองค์กรด้านสิทธิมนุษยชน รองรับผู้ใช้แรงงานต่างชาติ ที่จะเคลื่อนย้ายมาเพราะแรงกระตุ้นได้ค่าแรง 300 บาทเท่ากับผู้ใช้แรงงานไทย

นายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวในการปาฐกถาพิเศษเรื่อง “เส้นทางแรงงาน 300 บาทกับอาเซียน” ในการเสวนาระดมสมองเรื่องยุทธศาสตร์ด้านแรงงานในไทย ภายใต้แรงกระตุ้น 300 บาท ซึ่งกระทรวงแรงงานร่วมกับบริษัทซิลเวอร์แอนด์โกลด์แมนเนจเม้นต์ จำกัด จัดขึ้นที่ โรงแรมเจ ดับบลิว แมริออท กรุงเทพ เมื่อวันที่ 24 เม.ย. 2556 ว่ารัฐบาลไทยให้ความสำคัญกับการยกระดับรายได้แรงงานให้เท่าเทียมกันทั่วประเทศและคุ้มครองสิทธิแรงงานให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล โดยคำนึงถึงหลักสิทธิมนุษย์ชนทั้งกับแรงงานไทยและแรงงานข้ามชาติ “โดยไม่เลือกปฏิบัติ” เพราะตระหนักดีว่า “ยุทธศาสตร์ด้านแรงงาน” มีความสำคัญต่อทุกประเทศในภูมิภาค และเป็นกลไกสำคัญที่จะทำให้ภูมิภาคอาเซียนเดินไปสู่เป้าหมายความสำเร็จร่วมกัน

ทั้งนี้ปาฐกถาดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของการเสวนาในหัวข้อ “ยุทธศาสตร์ด้านแรงงานในไทยภาคใต้แรงกระตุ้น 300 บาท” ที่จัดขึ้นโดยกระทรวงแรงงาน และบริษัทซิลเวอร์แอนด์โกลด์แมนเนจเม้นต์ จำกัด ที่โรงแรมเจดับบลิว แมริออท `

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงาน เล่าถึงความเป็นมาของนโยบายในการยกระดับรายได้แรงงานขั้นต่ำเป็น 300 บาทว่า มีการศึกษาข้อเท็จจริงทางเศรษฐกิจอย่างรอบด้าน และสอดคล้องกับความเป็นจริง โดยคณะกรรมการค่าจ้างชุดที่ 18 ก่อนจะมีมติเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2554 ให้ปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำอย่างเป็นขั้นเป็นตอน โดยเริ่มปรับเป็น 300 บาท 7 จังหวัด ตั้งแต่ 1 เมษายน 2555 และปรับจนครบทุกจังหวัดตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2556 และหากในอนาคตเกิดภาวะเศรษฐกิจผันผวนอย่างรุนแรง คณะกรรมการค่าจ้างก็สามารถพิจารณาทบทวนอัตราค่าจ้างได้ตามความเหมาะสม

อย่างไรก็ตามในส่วนของผู้ประกอบการโดยเฉพาะผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อมก็ได้รับผลกระทบจากนโยบายการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำนี้ แต่รัฐบาลก็พยายามช่วยเหลือเพื่อบรรเทาผลกระทบอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งเฝ้าระวังสถานการณ์ด้านแรงงาน เช่นการเลิกจ้างที่อาจจะเกิดขึ้น

ทั้งนี้จากการติดตามสถานการณ์ของศูนย์กระทรวงแรงงานและจังหวัดตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม -19 เมษายน 2556 พบว่ามีสถานประกอบกิจการที่ได้รับผลกระทบจากการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ 60 แห่ง จำนวนลูกจ้างทั้งหมด 7,621 คน โดยแบ่งออกเป็น สถานประกอบการที่ปิดกิจการและเลิกจ้าง 3 แห่ง (ลูกจ้าง 89 คน) สถานประกอบการที่เลิกจ้างลูกจ้างบางส่วน 26 แห่ง (ลูกจ้าง 506 คน) และสถานประกอบการที่มีแนวโน้มเลิกจ้างอีก 31 แห่ง (ลูกจ้าง 4,072 คน) ซึ่งถือเป็นผลกระทบที่ต่ำกว่าที่หลายฝ่ายวิตกกังวล

สำหรับภาพรวมของอาเซียน พบว่าค่าแรงขั้นต่ำของแต่ละประเทศมีความแตกต่างกันมาก และประเทศไทยถือว่าเป็นประเทศที่มีค่าแรงขั้นต่ำสูงที่สุด (ยกเว้นสิงคโปร์และบรูไน) ซึ่งเป็นแรงจูงใจอย่างหนึ่ง แต่ก็ยังมีปัจจัยอื่นๆ เช่น การจัดสิ่งอำนวยความสะดวก สวัสดิการของรัฐ เป็นต้น

“คาดว่าในอนาคตอันใกล้นี้แรงงานต่างด้าวจะสนใจทำงานในประเทศไทยมากขึ้นอีก เพราะจะได้รับค่าจ้างอย่างเท่าเทียมกับคนไทย ได้สวัสดิการต่างๆ แต่ก็ต้องเน้นย้ำว่าต้องเป็นแรงงานที่เข้ามาอย่างถูกต้องตามกฎหมายหรือได้รับการผ่อนผันให้ถูกต้องตามกฎหมาย มีการจดทะเบียนอย่างถูกต้องจึงจะได้รับสิทธิเท่ากับแรงานไทยทุกประการ

“ขณะนี้กระทรวงแรงงาน กระทรวงต่างประเทศ และกรมการปกครอง กระทรวงมหาด ไทย กำลังร่วมมือสร้างระบบที่มีมาตรฐาน ให้แรงงานต่างชาติเข้ามาอย่างถูกต้อง อย่างมีมาตรฐาน มีกฎหมายกฎระเบียบ และเรื่องที่มั่นใจได้คือ เราใช้หลักคุณธรรม ความเสมอภาค และความเป็นเพื่อนมนุษย์”นายเผดิมชัยกล่าว

รมว.แรงงาน กล่าวว่า รัฐบาลไทยให้ความสำคัญและตื่นตัวในการเรียนรู้เรื่องราวของเพื่อนบ้านอย่างมาก ศึกษาภาษาและวัฒนธรรมของเพื่อนบ้าน เตรียมความพร้อมอยู่เสมอ เช่น กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน จะมีการจัดทำเอกสารเป็นภาษาอาเซียนทุกภาษาควบคู่กับภาษาไทย หากตัวแทนของแต่ละประเทศอาเซียนต้องการหารือถึงปัญหาทางวัฒนธรรมและข้อกฎหมายที่เป็นอุปสรรคก็สามารถมาพูดคุยกันได้ทุกเมื่อ เพื่อเตรียมความพร้อมและแก้ไขปัญหาที่สะสมอยู่ในภาคแรงงานให้ได้ยิ่งเร็วยิ่งดี

“มาตรการด้านแรงงานของเรามีความเป็นสากล สอดคล้องกับองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) องค์การสหประชาชาติ และองค์กรด้านสิทธิมนุษยชน เราพยายามผลักดันให้ทุกคนได้รับความเป็นธรรมอย่างเท่าเทียมกัน ความข้อย้ำว่ารัฐบาลไทยให้ความพร้อม เป็นธรรม ความเป็นมิตร ความเป็นสากล ในเรื่องแรงงานข้ามชาติซึ่งหลายฝ่ายอาจจะกังวล ซึ่งการกังวลไว้ก่อนก็เป็นเรื่องดี จะได้นำข้อกังวลเหล่านั้นมาเรียนรู้และแก้ไขปัญหา”นายเผดิมชัยกล่าว