Thai / English

ส.ว.ชลบุรีชี้ค่าแรง 300 บาททำได้ แต่รัฐบาลต้องอุดหนุนอุตฯขนาดเล็ก



13 .. 54
ผู้จัดการ

ศูนย์ข่าวศรีราชา -ส.ว.ชลบุรี แนะรัฐบาลใหม่ต้องดันนโยบายปรับค่าแรงขั้นต่ำเป็น 300 บาทต่อวันให้เกิดขึ้นจริง เพื่อช่วยผู้ใช้แรงงาน แต่ต้องคุมภาวะเงินเฟ้อโดยเฉพาะราคาสินค้าไม่ให้ขยับตามให้อยู่หมัด มิเช่นนั้นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ จะไม่เกิดประโยชน์จริง ที่สำคัญต้องหาแนวทางช่วยเหลือผู้ประกอบการขนาดเล็ก รวมทั้งอุตสาหกรรมที่ไม่สามารถใช้แรงงานไทยให้อยู่ได้ด้วยการใช้เงินอุดหนุนต่างๆ

นายสุรชัย ชัยตระกูลทอง สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) จังหวัดชลบุรี ในฐานะคณะอนุกรรมาธิการแก้ไขการขาดแคลนแรงงาน วุฒิสภา ให้ความเห็นถึงนโยบายการปรับค่าแรงขั้นต่ำเป็น 300 บาทต่อวันของพรรคเพื่อไทยว่าถือเป็นนโยบายที่ดีที่จะทำให้แรงงานชั้นล่างมีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น แต่รัฐบาลจะต้องมีความเข้มแข็งในการควบคุมราคาสินค้าไม่ให้ขยับขึ้นตาม โดยเฉพาะการดูแลเรื่องเงินเฟ้อ มิเช่นนั้นการขึ้นค่าแรงจะไม่เกิดประโยชน์ต่อแรงงาน

ขณะเดียวกัน ในส่วนของอุตสาหกรรมขนาดเล็ก ที่มีข้อจำกัดด้านการจ้างแรงงานรวมทั้งอุตสาหกรรมที่ไม่สามารถจ้างแรงงานไทยได้ รัฐบาลจะต้องเข้ามาสนับสนุนภายใต้รูปแบบเงินอุดหนุนต่างๆ เพื่อให้ผู้ประกอบการกลุ่มนี้สามารถประกอบธุรกิจได้โดยไม่ได้รับผลกระทบ

“ในส่วนของจังหวัดชลบุรี และระยอง ค่าจ้างแรงงานภาคอุตสาหกรรมทุกวันนี้ก็เกิน 300 บาทต่อวันอยู่แล้ว แต่ในส่วนของภาคการท่องเที่ยว อุตสาหกรรมขนาดกลาง-เล็ก และภาคเกษตร รัฐบาลจะต้องเข้ามาดูในรายละเอียดว่าหากมีการกำหนดให้ปรับค่าแรงขั้นต่ำเป็น 300 บาทในทันทีจะกระทบต่อผู้ประกอบการหรือไม่ ดังนั้น จะต้องมีการพิจารณาให้รอบคอบว่ากลุ่มใดจะต้องปรับอัตราค่าจ้างขึ้นเมื่อใด หรือรัฐอาจจะต้องขยายเวลาในการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำในภาคอุตสาหกรรมแต่ละกลุ่มเพื่อให้เกิดความเหมาะสมในระยะเวลา 2-3 ปี โดยเฉพาะอุตสหากรรมขนาดเล็กรัฐจะต้องเข้ามาดูแลเป็นพิเศษ”

ส่วนแรงงานต่างด้าวที่เข้ามาทำงานในประเทศไทยโดยถูกกฎหมาย ก็จะต้องพิจารณาการจ่ายค่าแรงขั้นต่ำเช่นเดียวกับแรงงานไทย เพื่อให้เป็นไปตามสนธิสัญญาประชาคมอาเซียน ที่ระบุไว้ว่าประเทศไทยจะต้องดูแลคนชาติอื่น เหมือนกับคนในชาติของตนเมื่อมีการจ้างแรงงานเกิดขึ้น โดยตนเชื่อว่า การปรับขึ้นอัตราค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำเป็น 300 บาท/วันสามารถเกิดขึ้นจริงได้ แต่อาจไม่สามารถเกิดได้ในทันทีทันใด และจะต้องเป็นไปในลักษณะค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งจะทำให้ผู้ประกอบการสามารถอยู่ได้ และไม่มีการรวมตัวเพื่อต่อต้านนโยบายของรัฐบาล

นายสุรชัย ยังเผยถึงนโยบายที่รัฐบาลจะจัดระเบียบการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันใหม่ ถือเป็นอีกหนึ่งนโยบายที่ดีของรัฐบาลใหม่ ซึ่งหากทำให้เกิดขึ้นจริงได้ก็จะทำให้ราคาน้ำมันในประเทศไทยเป็นไปตามกลไกตลาด และผู้ประกอบการจะต้องปรับตัวเพื่อรับกับการเปลี่ยนแปลง ทั้งนี้ที่ผ่านมาการจัดเก็บเงินกองทุนในน้ำมันเบนซินสูงถึงลิตรละ 7.50 บาท ขณะที่แก๊สโซฮอล์ ต้องจัดเก็บเงินเข้ากองทุนถึงลิตรละ 2-3 บาท เพื่ออุ้มน้ำมันดีเซล ก๊าซเอ็นจีวี และแอลพีจี

ทั้งนี้ หากรัฐบาลใหม่สามารถจัดระเบียบในส่วนนี้ให้เกิดความเป็นธรรมได้ และยกเลิกการให้ผู้ใช้น้ำมันเบนซินต้องแบกภาระค่าชดเชยต่างๆ ก็จะทำให้ผู้ใช้รถยนต์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นข้าราชการ พนักงานบริษัท และประชาชนทั่วไปลดภาระค่าใช้จ่ายลง ขณะที่ผู้ประกอบการภาคขนส่ง ก็ต้องยอมรับในผลกระทบที่เกิดขึ้น เพื่อให้เกิดการสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง ซึ่งใครที่ใช้น้ำมันดีเซลมากก็ต้องแบกรับภาระมาก เช่นเดียวกับผู้ที่ใช้รถยนต์ซึ่งติดตั้งระบบก๊าซ ก็ต้องยอมรับกับต้นทุนค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน ที่สำคัญรัฐบาลไม่ควรกำหนดนโยบายให้ผลิตภัณฑ์ตัวใด อุ้มผลิตภัณฑ์ตัวใด แต่ต้องสร้างความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นกับทุกกลุ่ม