Thai / English

กว่า 130 กิโลเมตร แรงงานภาคตะวันออก การเดินทางเพื่อหาความเป็นธรรม

มากกว่าหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมา ขบวนแรงงานกว่า 2,000 คน จากสองโรงงานใหญ่ (แม็กซิส อินเตอร์เนชั่นแนล และพีซีบี เซ็นเตอร์ จำกัด)
บัณฑิต แป้นวิเศษ
10 .. 54
กรุงเทพธุรกิจ

สาเหตุใหญ่ของผู้ใช้แรงงาน ทั้งสองแห่งที่ต้องเดินเท้าเปล่าหาความเป็นธรรมจากรัฐบาลส่วนกลาง ก็คือ การเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างงาน เช่น การทำงานกะจาก 2 กะ เป็น 3 กะ ยกเลิกเบี้ยการผลิต ยกเลิกข้อตกลง 36 เดือน และที่สำคัญ คือ นายจ้างยื่นข้อเรียกร้องสวนกลับขอสวัสดิการจากลูกจ้างคืนจาก 3 ข้อที่ลูกจ้างเคยได้ นายจ้างขอคืนกลับถึง 5 ข้อ ซึ่งเท่ากับลูกจ้างไม่ได้อะไรเลย ในขณะเดียวกัน นายจ้างก็ใช้การประกาศหยุดงาน โดยอ้างสาเหตุการทำงานของเครื่องจักรมีปัญหา ในระหว่างพิพาทแรงงาน ได้มีการเจรจาไกล่เกลี่ยโดยมีเจ้าหน้าที่แรงงานจังหวัดเข้ามาเป็นตัวกลาง อีกทั้งแกนนำสหภาพแรงงานทั้งสอง ที่ได้เคยเข้ายื่นหนังสือขอความเป็นธรรมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และคณะกรรมาธิการ การแรงงาน สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมีการเรียกนายจ้าง และแรงงานมาให้ข้อมูลแต่ก็ไม่เป็นผล มิหนำซ้ำ กลับถูกท้าทายจากกลุ่มนายจ้างผู้มีอิทธิพลที่เป็นเครือญาตินักการเมืองในปีก รัฐบาล ออกมาแสดงท่าทีไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย และหลักการด้านสิทธิมนุษยชน

จากการพูดคุยกับกรรมการ สหภาพแรงงานทั้งสองแห่งพวกเขาบอกว่า "นายจ้างประกาศหยุดงานและระหว่างเจรจา ได้มีการนำแรงงานข้ามชาติ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแรงงานชาวกัมพูชา และแรงงานไทยระบบเหมาค่าแรงผ่านบริษัทจัดหางาน เข้ามาทำงานในโรงงานแทนแรงงานไทยที่กำลังเรียกร้องความเป็นธรรม เท่าที่เห็น แรงงานข้ามชาติเหล่านี้มีทั้งถูกกฎหมาย และไม่ถูกกฎหมาย คาดว่าไม่ถูกกฎหมายจะมีมากกว่า เพราะเห็นได้ชัดว่าแรงงานข้ามชาติเหล่านี้จะไม่ได้รับค่าจ้างที่เป็นธรรม ทำงานหนักและมีชั่วโมงการทำงานที่ยาวนาน สิ่งสำคัญ คือ นายจ้างที่เอาแรงงานมาจากบริษัทเหมาค่าแรงไม่ได้มีการส่งเงินสมทบประกัน สังคม เรื่องนี้แดงขึ้นตอนที่ลูกจ้างเหมาค่าแรงได้ทำงานหนัก จนเกิดอาการช็อก ล้มลงกับพื้น สุดท้ายลูกจ้างรายนี้ต้องสังเวยชีวิตไปแบบฟรีๆ เนื่องเพราะนายจ้างเหมาค่าแรงไม่ได้มีการส่งเงินสมทบประกันสังคมให้กับ ลูกจ้างของตนเองเลย"

จากสถานการณ์ดังกล่าว การเดินทางอย่างรอนแรมมากกว่า 130 กิโลเมตร ที่มุ่งสู่กรุงเทพฯ ของแรงงานภาคตะวันออกกลุ่มนี้ ต้องการเดินเพียงเพื่อสร้างความเข้าใจ เห็นใจ ผ่านสายตาประชาชนตลอดเส้นทาง โดยเฉพาะการเรียกร้องต่อรัฐบาลให้เข้ามาเร่งแก้ปัญหา โดยมีเป้าหมายอยู่ที่การจัดการและช่วยเหลือพวกเขาให้รอดพ้นจากอำนาจเหนือรัฐ คือ กลุ่มทุนผลประโยชน์ ดังนั้น การแก้ปัญหาที่รัฐบาลต้องเร่งทำในสองประการกล่าว คือ ประการที่หนึ่ง การเปิดการเจรจาแบบไตรภาคีระดับชาติว่าด้วยการปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองแรง งาน และกฎหมายแรงงานสัมพันธ์ โดยเปิดให้พนักงานทุกคนที่ออกมาต่อสู้เรียกร้องความเป็นธรรมได้กลับเข้าทำ งานอย่างไม่มีเงื่อนไขจากนายจ้าง ทั้งนี้ การเจรจาของสหภาพแรงงานกับนายจ้างยังคงดำเนินต่อไปจนกว่าทั้งสองฝ่ายจะพึงพอ ใจ และตกลงกันได้ เหตุผลที่เสนอแบบนี้ เนื่องจากสถานการณ์ความไม่มั่นคงทางการเมือง ความปลอดภัยต่อพี่น้องแรงงาน นายจ้างและรัฐบาลกับการปล่อยให้แรงงาน ที่เป็นประชาชนในชาติต้องต่อสู้อย่างโดดเดี่ยว ซึ่งมิใช่วิสัยที่ดีของรัฐที่ดีในการรักษาความสงบเรียบร้อยของประเทศชาติ

ประการ ที่สอง การยกระดับการต่อสู้ของนายจ้าง กับสหภาพแรงงาน และแรงงานที่ร่วมเรียกร้องความเป็นธรรม นายจ้างต้องไม่อาศัยช่องว่างการจ้างงาน ที่ใช้แรงงานทดแทนไม่ว่าจะเป็นแรงงานข้ามชาติ หรือแรงงานระบบเหมาค่าแรงที่ผ่านบริษัทนายหน้าที่ทำผิดกฎหมายเข้ามาทำงานแทน รัฐบาลโดยกระทรวงแรงงานต้องมีการตรวจสอบนายจ้าง เข้มงวดเอาจริงกับเจ้าหน้าที่รัฐบางคนที่มุ่งแสวงผลประโยชน์ โดยต้องมีการลงโทษสถานหนักถ้าตรวจสอบและพิสูจน์ได้ว่ากระทำจริงในการละเมิด กฎหมาย ไม่ควรปล่อยให้การจ้างงานมีสองมาตรฐาน ระหว่างแรงงานไทยและแรงงานข้ามชาติ เหตุผลเนื่องเพราะการเลือกปฏิบัติ และการละเมิดกฎหมายของนายจ้าง และรัฐบางคนนำมาสู้ช่องว่างของความเกลียดชัง เข้าใจผิด ซึ่งอาจนำมาสู่ปัญหาด้านความมั่นคง และการมีทัศนคติที่ไม่ดีกับแรงงานข้ามชาติ ทั้งที่แรงงานเหล่านี้ต้องการเข้ามาทำงาน และต้องการการยอมรับว่าตนเองเข้าเมืองอย่างถูกกฎหมายตามนโยบายของรัฐบาล ดังนั้น การปฏิบัติต้องใช้หลักสิทธิมนุษยชนเข้ามาบริหารจัดการเป็นสำคัญ

การเดินทางกว่า 130 กิโลเมตร ของแรงงานไทยจากภาคตะวันออกจำนวนเกือบ 2,000 คน นับเป็นบทสะท้อนให้เห็นระบบการบริหารจัดการแรงงาน ความเหลื่อมล้ำในการปฏิบัติระหว่างนายทุน นักการเมือง และประชาชนที่ขายหยาดเหงื่อแรงงาน ผมเข้าใจดีว่าท่านนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐบาล กำลังเจอมรสุมทางการเมือง และการจัดการกับปัญหาด้านสังคม และเศรษฐกิจ แต่เมื่อมวลชนเดินมาอย่างยาวไกล รัฐบาลก็จะต้องเร่งแก้ไขอย่างจริงจัง อย่าให้เป็นน้ำผึ้งหยดเดียว ในสถานการณ์ที่อีกฝ่ายหนึ่งต้องการแรงบวก แรงหนุน โดยอาศัยความผิดหวังของพี่น้องแรงงานมาเป็นชนวนแห่งความเกลียดชังรัฐบาล จนอาจนำมาสู่ความวุ่นวายของบ้านเมือง และส่งผลต่อการเลือกตั้งในอนาคต เพราะพี่น้องแรงงาน ณ วันนี้ มีมากถึง 36 ล้านคน ยังไม่รวมเครือญาติในต่างจังหวัดทุกภาค ดังนั้น รัฐบาลควรเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาสนะครับ