Thai / English

คาดธุรกิจบริการคนรับใช้ในบ้านปีนี้มีเม็ดเงินสะพัด 27,000 ล้านบาท


ผู้จัดการ
14 .. 50
ผู้จัดการ

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่าในปีนี้จำนวนคนที่ทำงานบริการคนรับใช้ในบ้านมีประมาณ 400,000 คน และสร้างเม็ดเงินสะพัดสูงถึง 27,000 ล้านบาท ระบุจากปัญหาการขาดแคลนแรงงานที่ต้องการมาทำงานเป็นคนรับใช้ในบ้าน ทำให้ครัวเรือนที่มีความต้องการคนรับใช้ในบ้านต้องใช้ความพยายามมากขึ้น ในการหาคนรับใช้ในบ้าน และหลายครั้งไม่ประสบความสำเร็จ

บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด แจ้งว่า ปัจจุบันธุรกิจคนรับใช้ในบ้านไม่ใช่ธุรกิจที่น่าจะมองข้าม โดยคาดการณ์ว่าในปี 2550 จำนวนคนที่ทำงานบริการคนรับใช้ในบ้าน มีประมาณรวมกันถึง 400,000 คน และสร้างเม็ดเงินสะพัดสูงถึง 27,000 ล้านบาท ซึ่งคำนวณจากอัตราค่าจ้างเฉลี่ยที่ได้จากการสัมภาษณ์คนที่ทำงานบริการคนรับใช้ในบ้าน ซึ่งอัตราค่าจ้างนั้นจะแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ในการทำงาน และความพึงพอใจของนายจ้าง

ทั้งนี้ บริการคนรับใช้ในบ้านนั้น แยกออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้ คือ คนไทยที่ทำงานอาชีพคนรับใช้ในบ้านที่อยู่ในประเทศไทย คาดว่าในปีนี้ มีคนไทยที่ทำอาชีพคนรับใช้ในบ้านประมาณ 225,000 คน สร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในเศรษฐกิจ 11,000 ล้านบาท แต่จากปัญหาการขาดแคลนแรงงานที่ต้องการมาทำงานเป็นคนรับใช้ในบ้าน ทำให้ครัวเรือนที่มีความต้องการคนรับใช้ในบ้านต้องใช้ความพยายามมากขึ้นในการหาคนรับใช้ในบ้าน และหลายครั้งไม่ประสบความสำเร็จ ส่งผลให้เกิดธุรกิจบริการจัดส่งแม่บ้าน ซึ่งธุรกิจนี้พลิกรูปแบบบริการคนรับใช้ในบ้านเป็นรูปแบบเดียวกับการจ้างงานพนักงานในสำนักงาน

อย่างไรก็ตาม มีข้อแตกต่างจากการจ้างคนรับใช้ในบ้านในอดีตอย่างสิ้นเชิง ซึ่งเดิมที่อัตราค่าจ้างและลักษณะงานนั้น แต่ละครัวเรือนจะเป็นผู้กำหนด ซึ่งอัตราค่าจ้างและลักษณะงานจะไม่แน่นอน แล้วแต่ละครัวเรือน แต่ปัจจุบัน มีสัญญาการจ้างงานเป็นลายลักษณ์อักษร กำหนดลักษณะงานที่อยู่ในหน้าที่ ไม่ใช่เป็นการจ้างเหมาให้ทำทุกอย่าง มีการกำหนดวันทำงานและวันหยุดเช่นเดียวกับพนักงานบริษัท และแรงงานต่างด้าวที่เข้ามาทำงานอาชีพคนรับใช้ในบ้าน คาดว่าในปี 2550 แรงงานต่างด้าวที่มีอาชีพคนรับใช้ในบ้านนั้น มีจำนวน 150,000 คน ซึ่งสร้างเม็ดเงินประมาณ 9,000 ล้านบาท

ทั้งนี้ คนรับใช้ในบ้านที่เป็นแรงงานต่างด้าวในปัจจุบัน จึงแยกออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ได้รับใบอนุญาตจากกระทรวงแรงงาน และกลุ่มที่ลักลอบเข้าเมือง อัตราค่าจ้างของคนรับใช้ในบ้านที่เป็นแรงงานต่างด้าว จะอยู่ในระดับประมาณ 3,000-5,000 บาท แต่ในระยะหลังนี้ อัตราค่าจ้างจะแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับว่ามีใบอนุญาตหรือไม่ พูดหรือฟังภาษาไทยได้หรือไม่ ส่วนประสบการณ์ในการทำงาน เป็นเรื่องที่จะพิจารณาภายหลัง โดยถ้าแรงงานต่างด้าวนั้นมีใบอนุญาต อัตราค่าจ้างจะสูงกว่าแรงงานต่างด้าวที่ไม่มีใบอนุญาต

นอกจากนี้ คนไทยที่ทำงานอาชีพคนรับใช้ในบ้านที่ต่างประเทศ ได้แก่ อาชีพแม่บ้านไทยในต่างประเทศ คาดว่าในปี 2550 จำนวนแม่บ้านไทยในต่างประเทศจะมีประมาณ 25,000 คน หรือคิดเป็นเกือบร้อยละ 20 ของจำนวนแรงงานไทยทั้งหมดที่ไปทำงานในต่างประเทศ และคาดว่าแม่บ้านไทยที่ไปทำงานในต่างประเทศนั้น ส่งเงินกลับประเทศไทยในปีนี้สูงถึง 7,000 ล้านบาท ทำให้แม่บ้านไทยได้รับความนิยมอย่างมากในต่างประเทศ โดยเฉพาะในฮ่องกง สิงคโปร์ ไต้หวัน ส่วนแม่บ้านไทยก็นิยมไปทำงานในต่างประเทศ เนื่องจากได้รับค่าจ้างสูง เมื่อเทียบกับการทำงานในประเทศ กล่าวคือ ในฮ่องกง อัตราค่าจ้างแม่บ้านขั้นต่ำอยู่ที่ 18,000 บาทต่อเดือน ไต้หวัน ประมาณ 19,000 บาทต่อเดือน ซึ่งอัตราค่าจ้างอาจจะมีการปรับสูงกว่านี้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ในการทำงาน และลักษณะงานที่ระบุไว้ในสัญญาการว่าจ้าง ดังนั้น ในปัจจุบันจึงมีสำนักงานจัดหาแรงงานทั้งของรัฐบาลและเอกชน ที่เข้ามาทำหน้าที่จัดหาแม่บ้านไปทำงานในต่างประเทศ

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการจัดหาคนรับใช้ในบ้านทั้งในประเทศและต่างประเทศนั้น ยังไม่มีหน่วยงานใดรับผิดชอบโดยตรง ซึ่งการที่ธุรกิจเหล่านี้ยังมีแนวโน้มเติบโตนั้น ควรมีการกำหนดหน่วยงานที่จะมีหน้าที่รับผิดชอบในการจดทะเบียนการจัดตั้ง โดยมีการกำหนดมาตรฐานของแต่ละศูนย์ที่จะจัดตั้งขึ้น การกำหนดมาตรฐานของพนักงาน และกำหนดบทลงโทษเมื่อเกิดกรณีคดีความ ทั้งคดีอาญาและคดีแพ่งของพนักงานจากศูนย์ที่จัดตั้งขึ้น โดยต้องให้ทางศูนย์ที่จัดตั้งขึ้นมีส่วนต้องรับผิดชอบร่วมกับพนักงานที่ส่งไปทำงานตามบ้านต่าง ๆ ด้วย ส่วนกรณีของแรงงานต่างด้าวที่ทำอาชีพคนรับใช้ในบ้านนั้น การกำหนดโควตานับว่าเป็นทางออกที่ดีที่สุด แต่ประเด็นที่ต้องเข้มงวดต่อไปด้วยคือ การต่ออายุใบอนุญาต และการควบคุมการโยกย้ายแรงงานต่างด้าวไปอยู่กับนายจ้างคนอื่น ๆ ที่ไม่ได้ลงทะเบียนไว้ ทำให้เกิดปัญหาในการติดตามควบคุมแรงงานต่างด้าวด้วย